ใครเคยเจอปัญหา แม่ไม่ยอมให้แต่งงานไหมคะ ขอแลกเปลี่ยนความคิดเห็นค่ะ

สวัสดีค่ะ
วันนี้สมัครสมาชิกเพื่อตั้งกระทู้นี้โดยเฉพาะ
เราอยากให้มองว่าเป็นการคุยแลกเปลี่ยนกันนะคะ เพราะสิ่งที่เราจะเล่า หลายๆ คนอาจจะไม่โอเค รู้สึกว่าเราพูดให้แม่ดูไม่ดีหรือเปล่า แต่นี่เป็นสิ่งที่เราเจอค่ะ เจอจนเริ่มไม่เข้าใจว่าทำไม และเลิกถามว่าทำไม...

เราอายุ 29 ปีแล้วค่ะ คบกับแฟนมาตั้งแต่ตอนเรียนม. 6 ตอนคบกันสี่ปีแรก แม่ไม่รู้ว่าเรามีแฟนค่ะ แต่พ่อรู้ พ่อมักจะบอกเราว่า อย่าเพิ่งกำหนดชื่อเรียกความสัมพันธ์ เพราะไม่อยากให้เรายึดติด หรือให้มันมีผลกระทบกับเราตอนเรียนมหา'ลัย ให้เขาเป็นเพื่อนไปก่อน ถ้าใช่ มันก็ใช่ มันไม่แคล้วกัน
ส่วนแม่ น่าจะจับสังเกตได้บ้าง แต่ตราบใดที่เราไม่เอ่ยบอกเขาอย่างตรงๆ เขาก็จะทำเป็นไม่รู้ แม่มารู้ตอนงานวันรับปริญญาของเราค่ะ ซึ่งแฟนเรากับแม่เราก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไร (เรียกว่า รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง แม่เราค่อนข้างอคติกับความรักวัยเรียน)
เกริ่นพอสังเขปแล้วขอเข้าเรื่องเลยนะคะ 555
แฟนเราอยากแต่งงานแล้วค่ะ เขาอยากสร้างครอบครัว อยากมีลูก แล้วเราก็จะสามสิบกันละ แต่จังหวะไม่ดี พ่อเราประสบอุบัติเหตุรถยนต์เสียชีวิตเมื่อกลางปี 58 ค่ะ แผนที่จะคุยเรื่องงานแต่งงานก็เลยชะงักไว้ก่อน แต่หลังพ่อเสียได้สัก 6 เดือน ญาติผู้ใหญ่ฝั่งพ่อเขาก็เริ่มถามกันบ้าง เพราะเห็นว่าเราจะสามสิบแล้ว
แต่แม่ก็ตอบไปว่า "อยากให้ผ่านไป 1-2 ปีก่อน เพราะพ่อเพิ่งเสีย"

มันก็วนลูปมาตลอดสองปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี 58) เวลาญาติผู้ใหญ่ถามเราว่า เมื่อไรจะแต่งงาน เราก็มักจะบอกว่า ต้องรอแม่
มันต้องรอแม่จริงๆ ค่ะ เพราะถ้าแม่ไม่เซย์เยส แล้วเรายืนยันจะแต่ง บรรยากาศในบ้านจะมีปัญหา แล้วมันส่งผลไปทั่วเลยค่ะ ที่แน่ๆ มีโดนตัดลูกตัดแม่แน่นอนค่ะ แม่เราชอบพูดทำนองนี้…  T_T
มีอยู่ครั้งหนึ่ง คุณย่า (ลูกพี่ลูกน้องของย่า ที่เป็นแม่ของพ่อเรา เราลำดับให้นะคะ เพราะจะได้เห็นภาพและเห็นน้ำหนักคำพูดของแต่ละคนไปด้วย) เขาเรียกเราไปคุยส่วนตัว เรื่องแต่งงานนี่ละค่ะ ว่าทำไมยังแต่ง คนที่เราคบอยู่มันดีไหม
ก็ใช่ว่าเขาจะเป็นเพอร์เฟกต์แมน แต่สำหรับเรา แค่นี้เราว่าดีกับเรามากแล้ว เราก็เลยบอกย่าว่าเขาดีค่ะ เขาดีกับเรา ไม่เจ้าชู้ (ทุกวันนี้แฟนอยู่กับเกม ฟิกเกอร์ และการเข้าครัวค่ะ เราแต่งงานเราไม่ต้องกังวลเลยค่ะ)
ส่วนสาเหตุที่เรายังไม่แต่งงาน เราตอบย่าไปว่า แม่หวงเรา แม่ไม่อยากให้เราแต่งงานเพราะเขากลัวโดนทิ้ง ซึ่งย่าก็...เอาไปถามแม่ค่ะ เป็นการเรียกคุยสองต่อสองระหว่างย่ากับแม่ ซึ่ง...แม่ก็ตอบย่าว่าไม่ได้หวงเรา ไม่ได้กลัวโดนทิ้ง แต่น้ำเสียงกับสีหน้าแม่น้อยใจค่ะ
มันก็จะวนทำนองนี้อยู่ทุกครั้งที่มีโอกาสไปบ้านย่าค่ะ จนล่าสุดไปเยี่ยมท่านเพื่อสวัสดีปีใหม่ตอนต้นปี ย่าก็ไล่ถามจนรู้สาเหตุที่แม่ไม่ยอมให้เราแต่งค่ะ เพราะที่ผ่านมาที่แม่โยกโย้มาทั้งหมดเพราะบ้านฝ่ายชายไม่ได้ขอคุยอย่างเป็นทางการ แบบให้ผู้ใหญ่มาคุยกันเลยน่ะค่ะ คุยทางไลน์หรือทางโทรศัพท์ แม่เราไม่โอเค ต้องนัดร้านอาหาร มีญาติผู้ใหญ่จากสองฝ่ายมาคุย ย่าก็เลยบังคับแม่ให้เปิดโอกาสให้เขามาคุย
เราก็ส่งข่าวบอกแฟนเราค่ะ ประจวบเหมาะกับบ้านแฟนเราจะนัดอยู่แล้ว จังหวะมันพอดีเลยค่ะ ตอนเขานัดแม่ แล้วแม่ถามเราว่า เราบอกทางเขาหรือเปล่า เราก็ปดไปว่าไม่ได้บอกค่ะ ไม่งั้นเราจะโดนข้อหาอยากแต่งงานมีผัวซะก่อน
ผู้ใหญ่นัดคุยกันโดยที่เราไม่ได้ไปค่ะ แม่เราไม่บอกอะไรเลยจนใกล้วันที่เขานัดกัน เพื่อถามทางและบอกว่าจะไปคุยกับทางบ้านแฟนเรา ทางบ้านแฟน ก็มีพ่อแฟนกับลุงของแฟนที่มาจากต่างจังหวัดค่ะ ส่วนบ้านเรา ก็มีแม่ พี่ชายคนโตของแม่ มีน้องชายเรา หลานแม่ แล้วก็อากับอาสะใภ้ของเราค่ะ
ซึ่งการตกลงก็เป็นไปด้วยดีค่ะ หลังจากแม่เราอ้อมไปอ้อมมา เริ่มจากเท้าประวัติเราก่อน (อันนี้เราฟังน้องชายเราเล่ามาอีกทีค่ะ ตรงกับที่ทางแฟนได้ฟังพ่อเขาเล่า Orz) สรุปว่าโอเค แต่งกันได้ แต่แม่ขอให้เราเรียนจบก่อน ซึ่งตอนนี้เราป.โท ปีหนึ่งเทอมสองอยู่ค่ะ แต่พ่อแฟนเขาไปสรุปสุดท้ายว่างานแต่งจะอีก 5-8 เดือนข้างหน้า แล้วถามว่ามีใครคัดค้านไหม ซึ่งตอนนั้นไม่มีค่ะ
เรารู้สึกพลาดตรงไม่มีใครอัดเสียงให้เรา และเราไม่ได้ไปเองมาก เราไม่รู้เลยว่าใครกันแน่ที่เล่าได้ถูกต้อง... เคว้งคว้างมากค่ะตอนฟังน้องเล่า ฟังแฟนเล่า หรืออามาพูดให้ฟัง
แต่โดยรวมคือ… ทุกคนโอเคค่ะถ้าเราจะแต่งกันปีนี้ ยกเว้นแม่เรา

มาถึงจุดที่อยากระบายค่ะ
บ้านแฟนไปหาฤกษ์มาเป็นช่วงสิงหาของปีนี้ พอเราเอามาบอกแม่ แม่ก็บอกว่าไปหามาแล้ว แม่บอกเขาว่าขอเป็นปี 62 ได้ช่วงกรกฎา-สิงหา มา แต่แม่จะให้อาจารย์อีกท่านที่เคารพเช็กให้อีกทีค่ะ แต่ที่สำคัญคือ แม่จะให้เราแต่งปี 62 ค่ะ
แฟนเราอยากให้แต่งปีนี้หลังจากคุยสู่ขอเพราะเขากลัวแม่เราเตะถ่วงยืดเวลาไปเรื่อย ตอนนี้บอกว่ารอให้เราเรียนจบก่อน แต่ถ้าเราเรียนจบแล้ว แม่อ้างอีกว่าจะรอน้องสาวเราเรียนจบอีก (ซึ่งก็อีก 2-3 ปี) มันก็ไม่ได้แต่งสักทีน่ะค่ะ
วันนี้ผู้ใหญ่ทางบ้านแฟนก็เลยมัดมือชก บอกว่ามัดจำโรงแรมแล้ว ฤกษ์ก็เลือกเอาระหว่างสองวันที่ได้มาของปีนี้ค่ะ (เขาพิมพ์บอกทางไลน์)
แม่เราไม่โอเคค่ะ มองว่าทางบ้านแฟนไม่ให้เกียรติเขา ลากยาวไปถึงว่าตอนนี้ไม่มีพ่อเราแล้ว เขาจะทำแบบนี้กับแม่ จะทำอะไรกับบ้านเราเองแบบนี้ไม่ได้ เรานี่นั่งทำงานอยู่ข้างๆ ฟังแล้วเซ็งมากค่ะ
แม่อ่านให้เราฟัง (แต่เราเห็นแล้วค่ะ แฟนส่งมาให้ดูหลังจากที่พ่อเขาส่งไปให้แม่ค่ะ) แล้วก็ยื่นให้เราดู บอกว่าดูสิ เขาทำอย่างนี้ไม่ดีเลย แม่บอกว่าจะพิมพ์ตอบเขาว่า จะให้แต่งปี 62 วันนั้นก็คุยกันแล้วว่าจะแต่งปี 62 รอให้เราเรียนจบ (คำพูดสองฝั่งไม่ตรงกันค่ะ เราทรุดรัวๆ) เราบอกแม่ว่า ปี 62 ก็ไม่ได้จบดีเรียบร้อยหรอกค่ะ อาจจะปี 63 64 ก็ได้ (หลักสูตรเราเรียนห้าเทอมค่ะ) แม่ก็ถามว่าอ้าวบอกผิดเหรอ แล้วแม่ก็หลุดมาค่ะว่า ที่จะให้แต่งปี 62 เพราะแม่เกษียณพอดี จะได้เชิญญาติได้ ประกอบกับเราเพิ่งย้ายงาน เราทำงานไปได้ปีกว่าๆ เพื่อนที่ทำงานจะได้เชิญเราไปงาน แล้วเราจะได้เชิญเขามางาน เราก็จะได้เงิน
เราก็ถามแม่ว่า ทำไมต้องรอแม่เกษียณ ถ้าแต่งปีนี้ แม่ยังไม่เกษียณ แม่ก็เชิญคนมาได้มากกว่าไม่ใช่เหรอ แล้วแม่เราก็เฉไปถามอีกเรื่องเพื่อต้อนเราแทนค่ะ…บอกเราว่า ต้องเตรียมทำห้องให้เรา เพราะเราแต่งงานอยู่กับแฟน เราก็บอกแม่ว่า แฟนเราไม่มาหรอก บ้านเขาอยู่สบายกว่า เราเนี่ยต้องอยู่ไปกับเขา แต่เราคุยกับแฟนแล้วว่า แต่งแล้ว จันทร์-ศุกร์ เราจะอยู่บ้านเรา เพราะไปทำงานง่ายกว่า แล้วเสาร์-อาทิตย์ไปอยู่บ้านแฟน
แม่เราไม่โอเคทันทีเลยค่ะ แม่บอกว่าไม่ชอบให้แยกกันอยู่ ครอบครัวจะแตกแยก เราน้ำตาตกในใจแล้วค่ะ อะไรมันจะเรื่องเยอะขนาดนี้ มีการถามอีกค่ะว่าแฟนเราพูดเหรอเรื่องบ้าน เราก็บอกว่าเรานี่ละค่ะ เราเคยไปบ้านแฟน พอมาเห็นบ้านเรา เราก็บอกได้ว่าเขาไม่มา
แล้วก็ถามเราว่าจะซื้อบ้านไหม เราก็บอกว่าจะซื้อ แต่มันก็ต้องรออะไรหลายๆ อย่าง
แล้วก็พูดเรื่องแฟนเราบวชหรือยัง ต้องบวชก่อนแต่ง พ่อแม่เขาจะได้บุญเยอะนะ
จุดๆ นี้เราไม่รู้จะพูดอะไรกับแม่แล้วค่ะ เราไม่ค่อยพูดใส่อารมณ์แรงๆ กับแม่ เพราะเรารู้ว่ามันส่งผลไม่ดีกับบรรยากาศในบ้าน แต่ถามว่าเคยทำสีหน้าไม่พอใจ เสียงไม่พอใจใส่ไหม มีค่ะ มันแบบ ทำหน้าเมินๆ ตอบทื่อๆ ให้รู้ว่าไม่อยากคุยน่ะค่ะ

อ่านถึงตรงนี้ คนที่หลงมาอ่านอาจจะเอ๊ะ พูดอะไรเนี่ย ทำไมวกไปวนมา แต่เราไม่อยากใส่รายละเอียดลึกไปมากกว่าที่อยากให้เห็นภาพรวมๆ เห็นว่าเกิดอะไรแบบไหน แล้วเขาทำอย่างไร
เราถามตัวเองบ่อยๆ ว่าทำไมการแต่งงาน ที่เป็นเรื่องการใช้ชีวิตของคนสองคน ถึงต้องรอความเห็นคนคนเดียว ในเมื่อคนอื่นอยากให้ลูกหลานได้แต่งงาน แต่เราเข้าใจบริบทของสังคมไทยที่การแต่งงานต้องให้ผู้ใหญ่เห็นชอบ มันถึงจะถูกต้องสำหรับคนในสังคมไทย ที่มองว่าการแต่งงานของคนสองคน คือการดองระหว่างสองครอบครัว
แต่ตอนนี้เราว่า แทนที่บ้านแฟนจะเอ็นดูเรา น่าจะเหม็นขี้หน้าเราแล้วค่ะ ทำไมมันแต่งยากแต่งเย็น ทั้งที่ทางบ้านเขาสนับสนุนทุกด้านสำหรับงานแต่งนี้แล้ว

มีเพื่อนในพันทิปคนไหนเคยเจอประสบการณ์แบบนี้บ้างไหมคะ จัดการกับปัญหาแบบนี้อย่างไร เราอยากได้คำแนะนำมากเลยค่ะ แล้วก็ขอบคุณที่เสียเวลาเข้ามาอ่านที่เราระบายนะคะ

ป.ล. ตอนนี้แม่เราก็นั่งอยู่หน้าเรานี่ละค่ะ หลังจากเข้าห้องนอนไปคุยไลน์เงียบๆ กับทางบ้านแฟน T_T


เพิ่มเติม เราไลน์บอกอา (ลูกของย่า) เรื่องการนัดคุยสู่ขอลุล่วงไปด้วยดี บอกเรื่องการหาฤกษ์ที่แม่ยังไม่ยอมไปหา (เราเข้าใจอย่างนั้นตอนแรก เมื่อวานที่แม่บอกว่าไปหามาแล้ว เราแปลกใจมากว่าทำไมต้องอุบไว้…) และล่าสุดเราบอกอาเราเรื่องฤกษ์ที่ไม่ไปด้วยกันของแม่กับบ้านฝั่งชาย ซึ่งอาก็บอกย่า เพื่อให้ย่าเป็นทัพหน้าต่อ แต่ย่าเราโทร.หาแม่ตั้งแต่สัปดาห์ก่อนๆ ตอนรู้เรื่องจากอา ทว่าแม่เราไม่รับสายย่าเลยค่ะ ตอนกลางวันที่แม่ทำงาน แม่มักจะปิดเสียงมือถือ ไม่รับก็ไม่แปลกค่ะ แต่ถ้าเห็นมิสคอลล์มันก็ควรโทร.กลับใช่ไหมคะ แม่เราไม่โทร.ค่ะ ไม่โทร.คุยกับย่าเลย จนวันนี้ ย่าโทร.มาแล้วแม่รับสายค่ะ ย่าก็พูดทำนองว่าไม่ได้คุยกันนาน คิดถึง มาหาหน่อย แต่แม่เราบอกว่าไม่มีรถแล้วเราก็ไม่ว่าง (ไม่มีจริงๆค่ะ เราเอารถขับไปเรียนเสาร์อาทิตย์ อีกคันก็ซ่อมอยู่) ย่าก็บอกให้นั่งแท็กซี่มาหาเลย (ย่าเราเปรี้ยวมากค่ะ) อันนี้แม่เล่าให้ฟังค่ะ เราโทร.หาอาด้วย ก็ข้อมูลตรงกันเรื่องย่าโทร.ไปวันนี้ แต่เราเพิ่งรู้ว่าแม่ไม่ได้คุยกับย่ามาเป็นสัปดาห์ๆ แล้ว น่าจะเกือบเดือนแล้วด้วยค่ะ เราคุยกับอา เห็นตรงกันว่าแม่เราพยายามจะไม่คุยกับย่า เพราะกลัวย่าถามเรื่องแต่งงานค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่